คืนอำนาจให้วัดบวร

 

 

ปรากฏการณ์ผ่านข่าวสาร ในรอบ 16 ปี

 

เรื่องนี้ มีที่มาที่ไป มิใช่ข่าวโคมลอย

 

 

 

 

 

 

 

 

วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลัก ของคณะธรรมยุต

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย

 

 

 

 

 

 

 


 

(กดที่ภาพเพื่ออ่านประกาศแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช)

 

 

 

 

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 ถึง พ.ศ.2547 ทรงพระประชวร ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ รัฐบาลไทยในสมัยนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) จึงได้ดำเนินการตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชขึ้นแทน พร้อมกันนั้น มหาเถรสมาคมได้ดำเนินการตั้งรักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรยุติกนิกายในวันที่ 30 มกราคม 2547 โดยสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบ กนฺตาจาโร) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นผู้รักษาการแทนมาจนถึงปี พ.ศ.2550 สมเด็จพระพุทธชินวงศ์อาพาธ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ มหาเถรสมาคมจึงได้ลงมติให้ "พระพรหมมุนี-จุณฑ์ พฺรหฺมคุตฺโต" วัดบวรนิเวศวิหาร ให้ขึ้นรักษาการแทนในตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย"

 

 

 

 

 


 

 

 

พระพรหมมุนี ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย มาจนกระทั่งวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2560 (หลังสมเด็จพระญาณสังวรสิ้นพระชนม์ และมีการสถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธ ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช) พระพรหมมุนีซึ่งต่อมาได้เลื่อนเป็น "สมเด็จพระวันรัต" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร จึงได้แสดงสปิริต "ลาออก" เพื่อถวายตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต แก่สมเด็จพระสังฆราช (อัมพร อมฺพโร) วัดราชบพิธ

 

 

 

 

 

 

 

แต่ครั้นวันที่ 9 มิถุนายน 2560 กลับปรากฏว่า สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพโร) วัดราชบพิธ ได้มีพระบัญชา "ให้สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต" ต่อไป จนกระทั่งวันนี้ สมเด็จพระวันรัต ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตอยู่ ดูเป็นการประหลาดที่สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ ไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต แต่ให้วัดบวรนิเวศวิหารทำงานแทน

 

 

 

 

 

 

 

พระธรรมกิตติเมธี (พระพรหมเมธี-จำนงค์ ธมฺมจารี)

วัดสัมพันธวงศาราม โฆษกมหาเถรสมาคม

ผู้เผยแผนการ "คืนอำนาจ" ให้วัดบวรนิเวศวิหาร

 

 

 

มีสะเก็ดข่าวด้วยว่า ในการแต่งตั้งให้พระพรหมมุนี (สมเด็จพระวันรัต) วัดบวรนิเวศวิหาร ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ในวันที่ 1 สิงหาคม 2550 นั้น พระธรรมกิตติเมธี (พระพรหมเมธี-จำนงค์ ธมฺมจารี) วัดสัมพันธวงศาราม โฆษกมหาเถรสมาคมในสมัยนั้น ได้ให้ความเห็นว่า "เป็นเสมือนการถวายตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต คืนสู่วัดบวรนิเวศวิหาร"

 

 

นั่นคือสถานะของวัดบวรนิเวศวิหาร ต่อตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย

 

 

 

 

 

 

 

 

เอาคืน VS เอาให้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มาถึงเรื่อง..ที่ประชุมมหาเถรสมาคม

 

 

คำถามมีว่า ถ้าหากจะปรารภเรื่อง "เพื่อความสะดวกแก่การปฏิบัติพระภารกิจของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงพระชนมายุสูง" จึงควรย้ายที่ประชุมมหาเถรสมาคมจากพุทธมณฑล เข้ามาในบริเวณกรุงเทพมหานคร เหมือนสมัยในอดีต เช่น ยุคสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านอาพาธ ยังไม่แข็งแรงเพื่อจะออกนอกวัดไปประชุมที่วัดบวรนิเวศวิหารได้ มหาเถรสมาคมจึงได้ย้ายไปประชุมที่วัดสระเกศ

 

 

คำตอบนี้ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะจะมีถามต่อมาอีกว่า ถ้าเช่นนั้น ทำไมไม่ย้ายที่ประชุมไปวัดราชบพิธ เพราะสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน ประทับที่วัดราชบพิธ มิใช่วัดบวรนิเวศวิหาร

 

 

ถามว่า การย้ายที่ประชุมมหาเถรสมาคม จากหอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล ไปยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ตอบโจทย์อะไร ถ้ามิใช่..คืนอำนาจให้แก่วัดบวรนิเวศ ตามที่อดีตโฆษกมหาเถรสมาคมได้เคยเอ่ยไว้

 

 

 

"เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ"

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม รายงาน : 15 พฤษภาคม 2563

 

 

 

 

WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121  U.S.A.  PHONE. 702-384-2264