ปะฉะดะ !
สำนักพุทธฯของณรงค์-พงศ์พรไม่ยอม สวนกลับคนวิจารณ์อ้าง ศ.จำนงค์ ยืนยัน มส. รับทราบแล้ว อย่างเป็นทางการ
ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ที่แน่ๆ พระที่ถูกจับสึก รับรองไม่ได้ห่มผ้าเหลืองอีกแล้ว
การประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งล่าสุด วันที่ 10 มีนาคม 2563
ณรงค์ ทรงอารมณ์ และทีมงานเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ทำหน้าที่เลขาธิการมหาเถรสมาคม ตามข้อกำหนดในกฎหมาย
เสร็จประชุมแล้ว "สิปป์บวร" โฆษกสำนักพุทธฯ แถลงข่าว
ดูหน้าผู้ช่วย "เอางั้นเลยหรือครับพี่" นี่มันเล่นแรงนะ
ฟังไปก็เสียวไป ในฐานะที่นั่งด้วยกัน ถึงจะไม่ได้พูด แต่คนก็เห็นหน้า หวังว่าคงจะไม่โดนพระเณรชะยันโตเหมือนสิปป์บวรนะครับ
อา..นึกว่าปัญหาของประเทศไทยในเวลานี้จะมีแค่ "ไวรัสโควิด-19" เท่านั้น ที่ไหนได้ กลับยังมีอีกมากมาย รวมทั้ง "ปัญหาเรื่องสถานะของพระที่ถูกต้องคดีอาญา" อีกด้วย เขียนแบบนี้คงไม่ผิดนะฮะ คุณพงศ์พร เอ๊ย คุณณรงค์ !
สาเหตุที่ทำให้ทางสำนักพุทธฯ ของคุณณรงค์ ทรงอารมณ์ (รวมทั้งคุณเทวัญและคุณพงศ์พร) ต้องร้อนอกร้อนใจ สั่งให้สปี๊กเกอร์ออกมาแถลงข่าวอย่างมีอารมณ์นั้น ก็น่าจะมาจากข่าวทาง "หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ฉบับวันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งวันนั้น ตรงกับวันประชุม มส. พอดี เลยต้องมีการ "แก้ข่าว" กันบ้าง มิฉะนั้นก็จะลำบาก เพราะสื่อหลักเสนอข่าวตรงกันข้ามกับบทบาทของสำนักพุทธฯ มันก็จะเหนื่อยซีฮะ ขืนปล่อยไปจะทำให้สำนักพุทธฯเสียรังวัดบานเบอะ งานนี้จึงต้องมีการแก้มวย ด้วยการยืมคำพูดของอาจารย์ปู่จำนงค์ มาหักล้างกับพูดที่อ้างคำพูดท่านมาคัดค้านมติของสำนักพุทธฯ เหมือนหนามยอกก็เอาหนามบ่ง ทำนองนั้น
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต
ปรมาจารย์อาวุโสในทางพระพุทธศาสนา
ไทยรัฐยักษ์หัวเขียว พาดหัวข่าวเหมือนตีหัว "ณรงค์-พงศ์พร" ว่า "อัด พศ. แถลงทำขั้นตอนสละสมณเพศสับสน" เนื้อหาภายในก็มีการสัมภาษณ์ "อาจารย์ปู่-ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต" ซึ่งถือว่าเป็นปรมาจารย์ในทางพระพุทธศาสนา มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วเมือง ตั้งแต่ระดับปริญญาจนถึงด๊อกเตอร์ รวมทั้งศาสตราจารย์ และราชบัณฑิต อีกมากมายหลายท่าน อาจารย์ปู่จำนงค์พูดจา ก็เหมือนศาลฎีกาพิพากษา เพราะว่าสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน ยังอ่อนอาวุโสกว่าอาจารย์ปู่จำนงค์ สมัยยังครองผ้าเหลืองเมื่อต้น 25 พุทธศตวรรษ
ทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ รวมทั้งผลงานอันเป็นอมตะมากมายหลายร้อย ส่งผลให้ใครๆ ก็อยากจะได้ความเห็นของอาจารย์ปู่จำนงค์ไปอ้างอิง แรกๆ ก็อ้างอิงในห้องเรียน ต่อมาก็อ้างอิงในหนังสือ ล่าสุดก็อ้างอิงแม้กระทั่งในคดีอาญาและสถานภาพของพระสงฆ์ที่ต้องคดีอาญา ขนาดว่ามีมหาเถรสมาคมอยู่โทนโท่ ก็ไม่มีใครไปถามกรรมการ มส. เพราะก็คงจะรู้ดีว่า กรรมการ มส. ท่านต้องสงวนท่าทีในการแสดงออก แบบว่าจะพูดนอกห้องประชุมไม่ได้ ประชุม มส. ไม่เหมือนประชุม สส. ใครขืนพูดเรื่อยเปื่อยก็เตรียมตัว "พักงานยาว" นี่ไงที่ว่าทำไมใครต่อใครต้องไปถาม อาจารย์ปู่จำนงค์ ทองประเสริฐ แม้ว่าท่านจะอายุอาวุโสถึง 93 ปีแล้วก็ตาม พวกก็ยังไม่ยอมให้ท่านพักผ่อน
ซ้าย : พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่ปรึกษาสำนักพุทธฯ ขวา : ณรงค์ ทรงอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ปู่จำนงค์ จะพูดจริง หรือไม่ได้พูด หรือพูดว่าอย่างไรไปบ้าง มันก็ลำบากที่จะยืนยัน แต่ถึงกระนั้น ตราบใดที่มหาเถรสมาคมไม่วินิจฉัยโดยเด็ดขาด แต่ปล่อยให้ "เด็กวัด" คือ ณรงค์ ทรงอารมณ์ ออกมาพูดจาเกี่ยวกับสถานะของพระสงฆ์ มันก็ไม่มีความหมาย ยิ่งณรงค์เป็นร่างทรงของพงศ์พร มือจับพระเข้าคุกเสียเอง มันก็เอวังซีฮะ อย่าลืมนะฮะ ว่าคุณพงศ์พรเคย "เพิ่มความเห็นของตนเอง" เข้าไปในสำนวนฟ้องกรรมการ มส. ไว้ด้วยว่า "การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1-3 นอกจากกระทำผิดทางอาญาแล้ว ยังเข้าข่ายอาบัติปาราชิกตามพระธรรมวินัย ไม่สมควรครองสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นเจ้า คณะรอง และดำรงตำแหน่งกรรมการ มส. (เดลินิวส์ : 18 เมษายน 2561)" ถือได้ว่าเป็นการทำงาน "ล้ำหน้า" เกินบทบาทหน้าที่ ผอ.พศ. อย่างชัดเจนที่สุด และคงจะเป็นตราบาปของพงศ์พรไปจนถึงลูกถึงหลาน
ดังนั้น เมื่อสำนักพุทธฯ ซึ่งมีฐานะเป็น "ร่างทรง" ของพงศ์พร ออกมาพูดเรื่องสถานะของพระที่ถูกพงศ์พรจับสึก จึงไม่มีใครเชื่อถือ เพราะใครก็รู้ว่า "ณรงค์" เป็นเด็กปั้นของ..พงศ์พร แน่นอนว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถ "สลัดเงา" ของพงศ์พร ให้พ้นตัวเอง ต่อให้ "ณรงค์" อมพระมาพูด ก็คงไม่มีใครเชื่อ
เหนือไปกว่านั้นก็คือ "บรรยากาศ" ของการทำงานร่วม ระหว่างพระเณรเถรชีทั่วประเทศ กับ "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" อันมี ณรงค์ ทรงอารมณ์ เป็นผู้นำ (โดยตำแหน่ง) ในวันนี้ และมี "พงศ์พร" เป็นที่ปรึกษา น่าที่จะเดินไปได้สวย ด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนคุณเทวัญ ลิปตพัลลภ เคยกลับลำเมื่อตอนจำคำพูดของเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ไปบอกนักข่าวครั้งก่อน
แต่กลับตาลปัตร เมื่อ "ณรงค์" สวมวิญญาณของ "พงศ์พร" สั่งการให้ "สิปป์บวร" ออกมาปะฉะดะ ไม่ยอมลดวาราศอก นั่นก็เท่ากับว่า ณรงค์ ทรงอารมณ์ ได้นำเอาสำนักพุทธฯ กลับไปสู่บรรยากาศเก่าๆ เมื่อครั้ง "พงศ์พร" ยังครองเก้าอี้ ซึ่งช่วงนั้น แทบจะไม่มีพระเณรย่างกรายไปพุทธมณฑล บรรยากาศพอๆ กับไวรัสโคโรน่าระบาด เพราะพระเณรเขาขยาดพงศ์พร ครั้นพงศ์พรเกษียนไปได้ณรงค์มาแทน ก็น่าจะเปลี่ยนวิธีการทำงาน แต่ที่ไหนได้ กลับกลายเป็น "ณรงค์ก็คือพงศ์พร" อยู่เหมือนเดิม
การเกษียณอายุของพงศ์พร หาได้ทำให้ "โรดแม็ป" ที่วางเอาไว้ในการจัดระเบียบงานคณะสงฆ์ให้ขาดลงไปแต่อย่างใด พงศ์พรหาได้ไปจากพุทธมณฑลแต่อย่างใดไม่ แต่ยังคงอยู่ในฐานะ "ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านกิจการพระพุทธศาสนา" มีอำนาจครอบจักรวาล สั่งการ "ณรงค์ ทรงอารมณ์" ได้เต็มอำนาจ และย่อมจะมีประสิทธิภาพกว่าตอนที่พงศ์พรยังไม่เกษียน เพราะตอนนั้นคนเห็นตัว แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็น พูดหรือสั่งอะไรผ่านณรงค์ ใครจะรู้ว่า นั่นคือ..พงศ์พร
พระเณรต้องทำหน้ากากใช้เอง
ท่ามกลางวิกฤติการณ์ไวรัสโคโรน่าระบาดหนักไปทั่วโลก วัดวาอารามและพระภิกษุสามเณร ต่างก็ตั้งความหวังไว้ที่ "ผู้นำ" ในทางศาสนา ว่าจะได้แสดงอะไรออกมาให้เป็นการสร้างความเชื่อมั่น หรืออย่างน้อยก็ขอแค่ "หน้ากากอนามัย" ไว้ปิดหน้าวัดละชิ้นสองชิ้นก็ยังดี ดีกว่าไม่มี
แต่ที่ไหนได้ ประชุม มส. ก็แล้ว ประชุม พศ. ก็แล้ว ไม่เห็นแววว่าทาง มส. ก็ดี พศ. ก็ดี จะมีมาตรการอะไรให้เป็นที่มั่นใจเลย มีเพียงพระสังฆราชทรงประทานพระราชทรัพย์ 2 ล้าน ซื้อหน้ากากแจกจ่ายพระเณรร่วมๆ 400,000 รูป ถัวเฉลี่ยได้รูปละ 5 บาท ในขณะที่หน้ากากสีฟ้าราคาพุ่งไปตั้งชุดละ 14 บาท เป็นอย่างต่ำ ถามเสี่ยบอยดูสิ แถมชิ้นละ 14 บาทนั้น ต้องสั่งครั้งละ 1 ล้านชุดด้วย ต่ำกว่านั้นไม่ขาย เงิน 2 ล้านของสังฆราช ดูมากมายในสายตาพระธรรมยุตผู้บริสุทธิ์ แต่ในสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นจริง ถามว่ามันช่วยอะไรได้ ?
รัฐมนตรีเทวัญ เข้ารับเงินประทานจากพระสังฆราช
น่าจะนำไปถวายท่าน กลับไปเอาของพระไปใช้ ถวายแล้วก็เอาคืน
ประเทศไทยเรามาถึงวันนี้ได้อย่างไร ?
ซ้ำร้ายก็คือ สำนักพุทธฯ ต้องยอมจำนนว่า "ไม่มีเงินซื้อหน้ากากถวายพระ" เพราะว่างบประมาณอะไรต่างๆ ถูกรัฐบาลยึดคืนไปหมด ตั้งแต่สมัย "พงศ์พร" เป็นผู้อำนวยการ พศ. แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ไม่ว่าจะเป็นเงินฉุกเฉินยามเกิดวิกฤติเช่นไวรัสโควิดในวันนี้ สำนักพุทธฯไม่มีเงินเหลือเลย พระสงฆ์องค์เณรต้องหันมา "ตัดจีวร" ทำเป็นหน้ากากใช้กันเอง ส่วนสำนักพุทธฯก็หันไปแบมือ..ขอเงินสังฆราช มาซื้อหน้ากากแจกแทน
นั่นถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่สำนักพุทธฯ ควรพูด ควรทำ แต่สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ สิ่งที่ไม่ควรทำกลับรีบทำ มันก็แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของสำนักพุทธฯ ยุคมีนายณรงค์เป็นหัว และมีนายพงศ์พรเป็นเงาหัว พูดได้คำเดียวว่า ขืนเป็นเช่นนี้ วิบัติฉิบหายเกิดแก่วงการพระศาสนาแน่นอน
ไม่มีพระเณรในประเทศแม้แต่รูปเดียวเลยหรือ ที่กล้าลุกขึ้นถามว่า "มีสำนักพุทธฯไว้ทำไม"
รวมใจกันติดแฮชแท็ก
#ณรงค์ออกไป ! #พงศ์พรออกไป ! #มผอพศงรจตกม !
เหมือนนักศึกษาทั่วประเทศเขาลุกฮือขึ้นต่อสู้เรียกร้องต่อท่านผู้นำไทยในวันนี้
สำนักพุทธฯแฉ มีคนแอบอ้างชื่อราชบัณฑิต บิดเบือนข้อมูลการสละสมณเพศ ยันทำตาม ก.ม. เพื่อสร้างความเข้าใจ จากกรณีที่มีข่าวว่า ศ.พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต ได้ออกมากล่าวถึงการแถลงข่าวของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เรื่อง การสละสมณเพศของพระภิกษุสงฆ์ ภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ว่า เป็นการทำให้สังคมสับสนนั้น
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการ พศ. ในฐานะโฆษก พศ. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวภายหลังการประชุม มส. ว่า เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และตนได้ให้เจ้าหน้าที่ พศ. ไปสอบถามราชบัณฑิตท่านดังกล่าวแล้ว พบว่าท่านไม่ได้มีการข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคนแอบอ้างชื่อท่านโดยที่ท่านไม่รับรู้ และเมื่อสังเกตข้อความตามข่าวที่ระบุว่าราชบัณฑิตท่านนี้ให้สัมภาษณ์ จะพบว่ามีข้อความที่ไม่ถูกต้องอยู่หลายจุด ทั้งนี้ การที่ พศ. นำเรื่องการสละสมณเพศเข้าหารือใน มส. เป็นการนำหลักกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้แล้วเข้าหารือ เพื่อนำมาทบทวน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โดย มส. ได้มีมติรับทราบ และทาง พศ. ได้มีการแจ้งเวียนมตินี้ไปยังคณะสงฆ์ทั่วประเทศแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติดังกล่าว เป็นมติที่ มส. รับทราบเรื่องการพ้นจากความเป็นพระภิกษุ กรณีต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา จากกรณีที่มีพระภิกษุถูกจับกุมกรณีต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา และเป็นข้อถกเถียงกันในหมู่ชาวพุทธเกี่ยวกับพระภิกษุที่ถูกจับกุม และเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศ โดยที่พระภิกษุรูปนั้นไม่ได้เปล่งวาจาจะถือว่าพ้นจากความเป็นพระภิกษุหรือไม่ และกรณีพระภิกษุรูปนั้นได้รับการประกันตัวออกมาหรือพ้นโทษมาแล้ว จะกลับมานุ่งห่มจีวรโดยไม่ได้อุปสมบทใหม่ได้หรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวก่อให้เกิดความสับสนแก่ชาวพุทธ และมีผู้แสดงทัศนะต่อเรื่องดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยเผยแพร่ข่าวออกไปผ่านสื่อในหลายช่องทาง นำมาซึ่งความเสื่อมเสีย กระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นแก่คณะสงฆ์และสังคม พศ. จึงได้นำกฎหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 28, 29, 30 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 เข้าหารือ มส. เพื่อต้องการชี้แจงทำความเข้าใจ และเป็นแนวปฏิบัติแก่คณะสงฆ์ทั่วประเทศต่อไป
ไทยรัฐ : 11 มีนาคม 2563
อัด พศ. แถลงทำขั้นตอนสละสมณเพศสับสน
ราชบัณฑิตชี้ "สึก" ต้องมีเจตนาเปล่งวาจา ถูกขัง-แต่งขาวไม่ใช่ประเด็น
ศ.พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวเกี่ยวกับการสละสมณเพศของพระภิกษุสงฆ์ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ว่า เป็นการทำให้สังคมเข้าใจว่าการแถลงข่าวดังกล่าวเป็นมติของมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อให้สังคมเข้าใจว่า พระสงฆ์ที่ถูกคุมขังขาดจากความเป็นพระแล้ว ตามผลของกฎหมายมาตรา 29 และ 30 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งถือเป็นการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน โดยการแถลงข่าวดังกล่าวเป็นการใส่ความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปในข้อกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามหลักการเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทั้งนี้อาจส่งผลกระทบ เกิดความเสียหายต่อคณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่หลวง เพราะการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ตามมาตรา 29 นั้น ต้องจัดการให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย โดยต้องมีเจตนาเปล่งวาจาลาสิกขาต่อหน้าผู้รู้ความ ตามแนวของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6782/2543 ซึ่งจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกานี้ ยืนยันได้ว่า ถ้าไม่ได้จัดการลาสิกขาตามขั้นตอนพระธรรมวินัย โดยมีเจตนาเปล่งวาจาลาสิกขาถือได้ว่า ไม่เป็นการสละสมณเพศ
ศ.พิเศษ จำนงค์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังพบว่า กรณีของพระสงฆ์วัดสระเกศกับวัดสามพระยา ที่ถูกคุมขังก่อนได้รับการประกันตัวนั้น ไม่ได้มีการเปล่งวาจาลาสิกขาตามขั้นตอนพระธรรมวินัย และในวันที่ต้องถูกคุมขัง ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้มีพระสงฆ์รูปใด จากวัดใด มาดำเนินการสละสมณเพศ ทั้งไม่ปรากฏพยาน เอกสารและพยานบุคคล และไม่ปรากฏบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรของพระภิกษุรูปที่มาดำเนินการให้สละสมณเพศ ที่จะต้องลงความเห็นว่าท่านได้ลาสิกขาไปแล้ว ส่วนการถูกคุมขังและการใส่ชุดขาวนั้น ไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมากล่าวอ้างว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านขาดจากความเป็นพระไปแล้ว เพราะสาระสำคัญของความเป็นพระภิกษุจะสมบูรณ์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่การถูกคุมขัง แต่อยู่ที่ข้อวัตรปฏิบัติของความเป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัย การที่ต้องใส่ชุดขาวก็มีเหตุจำเป็นที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำ ไม่ได้ทำให้ความเป็นพระภิกษุหมดไป เช่น เวลาพระสงฆ์อาพาธต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็ต้องถอดจีวรเพื่อใส่ชุดตามระเบียบของโรงพยาบาล นอกจากนี้โฆษก พศ. ยังได้อ้างถึงมาตรา 28 ที่ระบุ ว่า พระภิกษุรูปใดก็ตามที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคล ล้มละลาย ต้องสึกภายใน 3 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุดนั้น ซึ่งถือว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีที่เกิดกับวัดสระเกศ และวัดสามพระยา ดังนั้นจึงไม่ควรนำมากล่าวอ้าง เพราะจะเป็นการชี้นำให้สังคมเกิดความสับสนได้
ที่มา : ไทยรัฐ : 10 มีนาคม 2563 |
WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. PHONE. 702-384-2264 |