แอ่นแอ๊น พระเอกหลงโรง !

 

สุดหล่อพ่อสายชลออกงานแรก

 

รับบทโฆษกเสียงทอง

 

งานอบรมเจ้าอาวาสวัดใหม่ในหนกลาง

 

 

 

 

 

 

 

โหลเท๊ส ! โหลๆ สองโหล 24

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อา..เป็นบุญตาที่ได้มาปากน้ำโพ เอ๊ย ได้มาพบมหาสายชล คือว่าได้มีโอกาสเห็น "พระเดชพระคุณสมเด็จพระมหาสายชล" องค์รัชทายาทของสมเด็จนิยม วัดชนะสงคราม ในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ของประเทศไทย ได้ฤกษ์เสด็จเป็นองค์โฆษก เนื่องในวโรกาส "งานอบรมพระสังฆาธิการ เจ้าอาวาสใหม่" ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ณ พุทธมณฑล

 

 

ที่ต้องบอกกล่าวว่า "เป็นบุญตา" นั้น เพราะท่านพระมหาสายชล หลานในไส้ของสมเด็จนิยม วัดชนะ อดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลางผู้ตงฉิน ได้ขึ้นเสวยอำนาจบนตำแหน่ง "เจ้าคณะภาค 1" อันเอกอุ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 ก็แค่ 9 ปี ที่ผ่านมา ตอนนั้นมหาสายชลยังคงเป็นแค่ "พระโสภณปริยัติสุธี" พูดแบบนี้คนก็ไม่รู้อีก ต้องบอกว่า เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ หรือชั้นต้น ในบรรดาเจ้าคุณทั้ง 6 ชั้น ของคณะสงฆ์ไทย

 

 

โดยในตอนนั้น ตำแหน่งใหญ่ๆ ในคณะสงฆ์หนกลาง จะมี 3 ตำแหน่งหลัก ได้แก่

 

 

1. เจ้าคณะหน หรือเจ้าคณะใหญ่ มีสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมเด็จสมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชัยญาติ (อดีตพระวัดชนะสงคราม) ดำรงตำแหน่ง

 

2. เจ้าคณะภาค 1 ปกครองกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีพระโสภณปริยัติสุธี (มหาสายชล ฐานวุฑฺโฒ) วัดชนะสงคราม ดำรงตำแหน่ง และ

 

3. เจ้าคณะ กทม. มีพระพรหมดิลก (เจ้าคุณเอื้อน หาสธมฺโม) วัดสามพระยา ดำรงตำแหน่ง

 

 

การบังคับบัญชาก็ตามลำดับชั้น คือ เจ้าคณะ กทม. ขึ้นต่อเจ้าคณะภาค 1 เจ้าคณะภาค 1 ขึ้นต่อเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ส่วนเจ้าคณะใหญ่หนกลางนั้นไม่ต้องขึ้นต่อใคร เพราะใหญ่ที่สุด แม้แต่สมเด็จพระสังฆราชก็ไม่กล้าแตะ

 

 

แต่การขึ้นสู่ตำแหน่งของ "มหาสายชล" ในครั้งกระโน้น ถูกท้วงติงอย่างแรง เพราะมีคุณวิบัติหลายประการ อาทิเช่น

 

 

เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ซึ่งถ้าขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 อันเอกอุ ก็ต้องบังคับบัญชาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เจ้าคณะจังหวัดสมุทรปราการ เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ซึ่งแต่ละเจ้าคณะนั้น ก็ล้วนแต่มีอาวุโสสูงมาก สมณศักดิ์ก็ชั้นเทพ-ชั้นธรรมขึ้นไป ถ้าเอาพระมหาสายชลผู้มีอายุพรรษาเพียง 45 ปี มาเป็นภาค 1 ก็เหมือนเอาเด็กวานซืนมาปกครองผู้ใหญ่ และถ้าเอาชั้นสามัญมาเป็นภาค 1 ขณะที่ภาคอื่นๆ เขาเป็นชั้นเทพขึ้นไป ก็เท่ากับเอานายพันมาปกครองนายพล ดูยังไงก็ไม่เหมาะสม นั่นเป็นเรื่องคุณสมบัติ

 

 

ส่วนปัญหาบ้านเมือง เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการ ซึ่งการจะวางตัวบุคคลากรไว้ในตำแหน่งใด ก็ต้องมองถึง "ภาระหน้าที่" ที่จะต้องดูแลและรับผิดชอบ และเมื่อวัดพระธรรมกาย อยู่ในเขตจังหวัดปทุมธานี จึงต้องขึ้นต่อเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งในอดีตก็เคยมีการ "ปลด" พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) วัดยานนาวา ออกจากเจ้าคณะภาค 1 เพราะไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมได้

 

 

การตั้งเจ้าคณะภาค 1 ในปี 2554 จึงมีงานใหญ่ระดับศตวรรษให้ทำ นั่นคือ ดำเนินการนิคหกรรมพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งต้องคดีใหญ่ "ฟอกเงินสหกรณ์คลองจั่น" เป็นงานหลัก ถามว่า มหาสายชล วัย 45 ปี จะเอาไหวหรือ ?

 

 

เสียงทักท้วงดังทั่วบ้านทั่วเมือง ว่าน่าจะตั้งพระเถระผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม (ซึ่งยังมีอยู่อีกมากมายในคณะสงฆ์ไทย) แต่สมเด็จสมศักดิ์ก็หาฟังไม่ เพราะต้องการให้ตำแหน่งต่างๆ ในหนกลาง ตกเป็นของพระสายอยุธยา (อ.ย.) เท่านั้น

 

 

ใช่แต่เท่านั้น ยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างด้วยว่า สาเหตุใหญ่ที่มหาสายชลได้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ไปครองแบบส้มหล่นนั้น เพราะตนเองเป็น "หลานในไส้" ของสมเด็จนิยม วัดชนะสงคราม แถมเป็นเด็กก้นกุฏิอีกต่างหากด้วย แบบนี้ก็เข้าอีหรอบ "รัชทายาท" อย่างมิต้องสงสัย

 

 

สุดท้าย มหาสายชล ก็เดินผ่านมหาเถรสมาคมไป "ฉลุย" เพราะใครก็ไม่กล้าแตะ "สมเด็จสมศักดิ์" เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เพราะพระราชาคณะ กรรมการมหาเถรสมาคม ส่วนใหญ่ เป็นสายสอพลอ คิดแต่เอาตัวรอด จึงไม่กล้าทักท้วง ทั้งๆ ที่เห็นอยู่เต็มตาว่า หายนะกำลังจะมาเยือนคณะสงฆ์ไทยเพราะมหาสายชล !

 

 

 

 

 

 

 

 

ผลงานแรกของมหาสายชล บนเก้าอี้ "เจ้าคณะภาค 1" อันทรงอำนาจ ก็คือ วันที่ 3 พฤษภาคม 2556 มีพิธีมอบตราตั้งตำแหน่งเจ้าคณะเขตสัมพันธวงศ์ เขตทวีวัฒนา และเขตลาดกระบัง ซึ่งความจริงแล้ว เจ้าคณะภาค 1 (มหาสายชล) ต้องเป็นผู้มอบด้วยตนเอง แต่มหาสายชลกลับไม่กล้ามอบ เพราะแม้จะเป็นเจ้าคณะภาค แต่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าคุณเอื้อน วัดสามพระยา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นแค่ "เจ้าคณะ กทม." ถือว่าเป็นลูกน้องของมหาสายชลๆ จึงยกกองถ่ายไปทำพิธีที่วัดสามพระยา ถวายอำนาจให้เจ้าคุณเอื้อนเป็นผู้มอบแทน ส่วนตนเองก็เลี่ยงไปนั่งหลับอยู่ข้างๆ น่ารักน่าชังเหลือเกิน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วีรกรรมต่อมา เมื่อมีข่าวดังกระหึ่มเมือง เรื่องพระกรรมฐานชื่อดัง "พระมิตซูโอะ คเวสโก" เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันวนาราม กาญจนบุรี หนีออกจากวัดไปไม่กลับ ทราบแต่เพียงว่า ลาสิกขากะทันหัน ศิษยานุศิษย์ภายในวัดไม่มีใครรู้ แต่มีกระแสข่าวว่า "สึกกลางดึกที่วัดชนะสงคราม" นักข่าวทุกสำนักจึงตามไปที่วัดชนะสงคราม เจอหน้ามหาสายชลที่งานวัดพรหมวงศาราม ดินแดง จึงรุมถาม มหาสายชลก็พ่นน้ำลายใส่ไมค์นักข่าวว่า

 

 

 

เจ้าคณะภาค 1 ยืนยัน พระมิตซูโอะ มิได้สึกที่วัดชนะฯ 

 

12 มิ.ย. 56 พระราชวิสุทธิเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม และเจ้าคณะภาค 1 กล่าวภายหลังร่วมพิธีฉลองเปรียญธรรม และมอบทุนการศึกษา ประจำปี 2556 สำนักเรียนวัดพรหมวงศาราม ว่า ตามที่สื่อต่างๆ ระบุว่า อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ มาลาสิกขาที่วัดชนะสงคราม และตนเป็นผู้ทำพิธีลาสิกขาให้นั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และจากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม และพระภายในวัดก็ยืนยันเช่นกันว่า อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะไม่ได้มาลาสิกขาที่วัดชนะสงครามแน่นอน

 

ซึ่งเรื่องนี้ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลางก็สอบถามมาเช่นกัน และตนได้ยืนยันไปว่า เรื่องการลาสิกขาของอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะที่วัดชนะสงครามนั้น ไม่เป็นความจริง และโดยส่วนตัวก็ไม่เคยรู้จักอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะด้วย อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นไปได้ว่า อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะไปลาสิกขา ในวัดที่มีชื่อคล้ายกับวัดชนะสงคราม จึงทำให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาดกันไปได้ (ที่มา : คมชัดลึก)

 

 

 

สมเด็จสมศักดิ์ ฟังคำมหาสายชลแล้ว ก็จำไปบอกนักข่าวแบบเดียวกัน แต่ภายหลังมา ทิดมิตซูโอะกลับมาไทย ไปออกรายการของ "วู๊ดดี้เกิดมาคุย" เอาหนังสือสุทธิมาเผยหน้าจอ ก็ระบุชัดว่า "สึกที่วัดชนะสงคราม คณะ 12 ถนนจักรพงษ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ มิถุนายน 2556 เวลา 21.05 น." งานนี้โอละพ่อ เพราะเป็นการตบหน้ามหาสายชล เจ้าคณะภาค 1 อย่างแรง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรมหาสายชลอีก ตามเคย

 

 

 

 

 

 

 

 

และแล้วรายการ "มาตามนัด" ก็มาถึง เมื่อถึงเดือนเมษา เอ๊ย เดือนกุมภาพันธ์ 2559 คดีสหกรณ์คลองจั่นอันพัวพันถึง "ธัมมชโย" เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พระผู้มากบารมี "นัมเบอร์วัน" ของประเทศไทย ก็ได้ฤกษ์ ระเบิดเถิดเทิง ฝ่ายบ้านเมืองมี "ดีเอสไอ" เป็นเจ้าภาพ ส่วนฝ่ายคณะสงฆ์ไทยนั้น หนีไม่พ้นภาระหน้าที่ของ "มหาสายชล" บนตำแหน่ง..เจ้าคณะภาค 1 อันสูงส่งชวนฝันใฝ่

 

 

สถานการณ์วัดพระธรรมกาย ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภา 2559 ถึง 16 กุมภา 2560 ระยะเวลา 1 ปีที่ว่านี้ ก่อนที่ท่านธัมมชโยจะแสดงฤทธิ์ "หายตัว" ไปจากวัด แต่ถ้าสังเกตให้ดีว่ายังมีพระไทยเก่งกว่าธัมมชโย นั่นคือ "มหาสายชล" ซึ่งแสดงฤทธิ์ "ไม่ทำห่าอะไรเลย" ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาอย่างน่าพิศวง แต่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ได้มาจวบจนทุกวันนี้ วันที่คณะสงฆ์ไทย "ย่อยยับอัปรา" เพราะเกิดวิกฤติการณ์ขั้นร้ายแรงซ้ำซ้อนกันหลายครั้ง เช่น

 

 

6 มกราคม 2560 : รัฐบาลไทย ได้เสนอแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา 7 ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช โดยสมบูรณ์ (ยึดอำนาจมหาเถรสมาคมในการตั้งพระสังฆราช)

 

 

24 พฤษภาคม 2561 : รัฐบาลไทย ได้ดำเนินการผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งกองกำลังเข้าจับกุมกรรมการมหาเถรสมาคมจำนวน 3 รูป จับได้ (จับได้ 1 หนีรอดไปได้ 2 ภายหลังกลับมามอบตัว 1) ถึงปัจจุบันคดีความก็ยังไม่สิ้นสุด แต่ทุกรูปที่ถูกจับได้นั้น ถูกปลด-สั่งสึก และถอดสมณศักดิ์ออกหมดแล้ว

 

 

18 ก.ค. 2561 : รัฐบาล คสช. ได้แก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ ให้การสถาปนา แต่งตั้ง กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะหน และเจ้าคณะภาค เป็นพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์

 

 

หมายถึงว่า สมเด็จพระสังฆราช และมหาเถรสมาคม ถูกยึดอำนาจไปหมดสิ้น ไม่มีอำนาจแต่งตั้งใครได้เหมือนเดิมอีกแล้ว

 

 

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แทบจะไม่มีใครเคยคิดว่า มีผู้มีอำนาจหน้าที่สำคัญในการบริหารกิจการคณะสงฆ์สำคัญในระดับภาค นั่นก็คือ มหาสายชล เจ้าคณะภาค 1 นั่นเอง มหาสายชลอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองเป็นเรื่องของมหาสายชลคนเก่ง

 

 

แต่ความเก่งของมหาสายชลใช่จะอยู่แค่การ "ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาบ้านเมือง" เท่านั้น เมื่อมีโผเจ้าคณะภาคชุดใหม่ ภายใต้กรรมการมหาเถรสมาคมชุดพระราชทาน ประกาศผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ปรากฏว่า "มหาสายชล" ยังคงดำรงตำแหน่ง "เจ้าคณะภาค 1" อยู่อย่างเหนียวแน่น ทั้งนี้มีรายงานว่า เป็นการเสนอของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ผ่านสมเด็จพระสังฆราช ไปยังสำนักพระราชวัง

 

 

ครั้นมีเสียงนินทากระหึ่มเมือง ทางสำนักพุทธฯ จึงออกมาชี้แจงในใหม่ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ว่า "การออกพระบัญชาแต่งตั้งเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาคคงจะต้องล่าช้า เพราะต้องรอบคอบ เพื่อป้องกันการผิดพลาด และเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (พรบ.คณะสงฆ์ ฉบับแก้ไขใหม่) อย่างเคร่งครัด" และจากวันนั้นถึงวันนี้ นับได้กว่า 2 เดือนแล้ว ก็ยังไม่มีพระบรมราชโองการตั้งเจ้าคณะภาคและเจ้าคณะหนออกมาเลย ทุกรูปยังคงเป็นเพียง "รักษาการ" เท่านั้น

 

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้พูดมาหลายครั้งแล้ว จนคนเขียนก็เบื่อ แต่ที่เกริ่นนำมานี้ เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า "ตลอดเวลากว่า 9 ปี ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 มานานนั้น" ไม่เคยเห็นมหาสายชลทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเลย ดังที่ยกตัวอย่างมาไม่ว่าจะเป็นงานมอบคำสั่งแต่งตั้งเจ้าคณะเขตในกรุงเทพมหานคร มาจนกระทั่งปัญหาธรรมกาย

 

 

 

 





 

 

 

 

แต่..แต่ว่าวานนี้ (24 ก.พ. 63) ก็มีภาพ "มหาสายชล" รับบทเป็นโฆษกเสียงทอง ในงานอบรมพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสในเขตปกครองภาค 1 ที่พุทธมณฑล ซึ่งถ้านำเอาบทบาทและผลงานของมหาสายชลบนตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 มาเป็นตัวอย่างให้แก่พระสังฆาธิการรุ่นใหม่ ก็คงจะได้ประมาณนี้

 

 

1. กรณีพระมิตซูโอะ สึกที่วัดชนะสงคราม มหาสายชล ในฐานะผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง และเจ้าคณะภาค 1 บอกว่า "ตนเองไม่รู้ ไม่ได้สึกกับตน และถามพระทั้งวัดก็ไม่มีใครรู้" ภายหลังหลักฐานก็ปรากฏว่า "ขัดกับคำให้การของมหาสายชลอย่างสิ้นเชิง" บทบาทควายๆ แบบนี้ ถือว่าเป็นพระสังฆาธิการที่ควรเอาเป็นแบบอย่างหรือไม่ ?

 

 

2. กรณีธรรมกาย ซึ่งก่อให้เกิดปัญหากระทบคณะสงฆ์ไทยไปทั่วประเทศและทั่วโลก ถามว่า มหาสายชล บนเก้าอี้เจ้าคณะภาค 1 เคยทำอะไรให้เป็นตัวอย่างแก่พระสังฆาธิการรุ่นใหม่บ้าง

 

 

การออกงานของมหาสายชลเมื่อวานนี้ เห็นเป้าหมายก็เพียงสิ่งเดียว คือ ยึดเก้าอี้เจ้าคณะภาค 1 ไว้กับตัวเองจนสุดฤทธิ์

 

 

อดีตและปัจจุบัน พระพุทธศาสนาในประเทศไทย ตกต่ำย่ำแย่อย่างไร มหาสายชล เจ้าคุณประยูร และมหาเถรสมาคม ไม่เคยสนใจ สนก็แต่ผลประโยชน์ รักตัวกลัวตาย จนรัฐบาลและราชสำนัก ต้องเข้ามาแก้ไขครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังหารู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีอย่างไรไม่ แต่ยังคงตะกละตะกราม คิดจะเอาตำแหน่งอยู่อย่างไม่รู้สึกรู้สา เห็นได้จากมติแต่งตั้งตัวเองที่ออกมาครั้งล่าสุด ยังมีหน้าจะมาสอนพระสังฆาธิการอีกเฮ้อ !

 

 

 

 

 

 

 

โหว โว เย เย้  ไอเลิฟ สายชล มอแดน ไอ แคน เซย์

 

 

 

น่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ "มหาเถรสมาคม" ซักครั้ง สนใจไหมคับ ท่านเจ้าคุณประยูร ?

 

 

 

 

 

อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม รายงาน : 25 กุมภาพันธ์ 2563

ภาพ : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

 

 

 

 

WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121  U.S.A.  PHONE. 702-384-2264